นายกหญิงคนแรกของไทย

| วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554 | 0 ความคิดเห็น |
http://board.palungjit.com/member.php?u=338880

พ่อกูใหญ่

| วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2554 | 0 ความคิดเห็น |


การบริหารทรัพยากรมนุษย์และการวางแผนเชิงกลยุทธ์

| | 0 ความคิดเห็น |
การบริหารทรัพยากรมนุษย์และการวางแผนเชิงกลยุทธ์

ทรัพยากรมนุษย์ (Human resource) เป็นบุคคลซึ่งมีความพร้อม มีความจริงใจ และสามารถที่จะทำงานให้บรรลุเป้าหมายขององค์การ หรือเป็นบุคคลในองค์การที่สามารถสร้างคุณค่าของระบบการบริหารงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการได้ ดังนั้นองค์การจึงมีหน้าที่ในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ เพื่อให้ปฏิบัติงานจนบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ ซึ่งต้องใช้การวางแผนเชิงกลยุทธ์ด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์เข้ามาช่วย

ลักษณะการบริหารทรัพยากรมนุษย์และกิจกรรมการบริหารทรัพยากรมนุษย์

การบริหารทรัพยากรมนุษย์ [Human resource management (HRM)] มีผู้ให้ความหมายไว้ต่างๆดังนี้ (1).เป็นการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรมนุษย์ของธุรกิจเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ (Mondy,Noe and Premeaux. 1999 : GL-5) (2).เป็นนโยบายและการปฏิบัติในการใช้ทรัพยากรมนุษย์ของธุรกิจเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ (Dessler. 1997 : 72)
(3).เป็นกิจกรรมที่ออกแบบเพื่อจัดหาความร่วมมือกับทรัพยากรมนุษย์ขององค์การ (Byars and Rue. 1997 : 4) (4).เป็นหน้าที่หนึ่งขององค์การซึ่งทำให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดจากการใช้พนักงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์การและเป้าหมายเฉพาะบุคคล(Ivancevich. 1998 : 708)

การบริหารทรัพยากรมนุษย์ในการทำงาน (Human resource management at work) เป็นสิ่งสำคัญและมีความจำเป็นที่ต้องกระทำเพื่อให้ทรัพยากรมนุษย์ที่มีอยู่ในองค์การสามารถทำงานได้อย่งมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ตลอดจนเพื่อความอยู่รอดและความเจริญก้าวหน้าขององค์การ ผู้บริหารทรัพยากรมนุษย์ควรจะศึกษาในประเด็นต่างๆดังนี้
1. การบริหารทรัพยากรมนุษย์คืออะไร (What is human resource management)
2. ทำไมการบริหารทรัพยากรมนุษย์จึงมีความสำคัญต่อผู้บริหารทุกคน (Why is human resource management important to all managers)
3. ลักษณะขอสายงานหลักและสายงานที่ปรึกษาของการบริหารทรัพยากรมนุษย์
(Line and staff aspects of human resource management)
4. อำนาจหน้าที่ของสายงานหลักเทียบกับสายงานที่ปรึกษา (Line versus staff
authority)
5. หน้าที่ความรับผิดชอบของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ของผู้บริหารตามสายงาน
หลัก(Line manager’s human resource management responsibilities)
6. ความรับผิดชอบของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ของแผนกทรัพยากรมนุษย์
(Human resource department’s human resource management responsibilities)
7. ความร่วมมือของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ของสายงานหลักและสายงานที่
ปรึกษา(Cooperative line and staff human resource management) ซึ่งจะได้อธิบายรายละเอียดดังนี้ (Dessler. 1997 : 1)

วัตถุประสงค์ของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ [Human resource management (HRM) objective]มีดังนี้
1. เพื่อจัดหาคนที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับงาน
2. เพื่อใช้ทรัพยากรมนุษย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
3. เพื่อพัฒนาทักษะและความสามารถของกำลังแรงงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
4. เพื่อรักษาพนักงานที่มีความสามารถให้คงอยู่ให้นานที่สุด
5. เพื่อสื่อสารนโยบายการบริหารทรัพยากรมนุษย์ให้กับพนักงานทุกคนได้ทราบ

การบริหารทรัพยากรมนุษย์มีความสำคัญต่อผู้บริหารทุกคน (The important of human resource management to all managers) การบริหารมนุษย์มีความสำคัญต่อผู้บริหาร เพราะผู้บริหารทุกคนไม่ต้องการให้มีความผิดพลาดเกิดขึ้นในการบริหารงาน ซึ่งความผิดพลาดที่ผู้บริหารงานไม่ต้องการมีดังนี้
1. การจ้างคนไม่เหมาะสมกับงาน
2. อัตราการออกจากงานสูง
3. การพบว่าพนักงานไม่ตั้งใจที่จะทำงานให้ดีที่สุด
4. การเสียเวลากับสัมภาษณ์ที่ไม่ได้ประโยชน์
5. ทำให้บริษัทต้องขึ้นศาลเนื่องจากความไม่เป็นธรรมของผู้บริหาร
6. ทำให้บริษัทถูกฟ้องจากการจัดสภาวะแวดล้อมการทำงานที่ไม่ปลอดภัย
7. การทำให้พนักงานคิดว่าเงินเดือนที่เขาได้รับไม่ยุติธรรม
8. ไม่ยอมให้มีการฝึกอบรมและการพัฒนา ซึ่งเป็นการทำลายประสิทธิภาพและประ
สิทธิผลของหน่วยงาน
9. การกระทำที่ไม่ยุติธรรมและความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับพนักงาน

ความรู้ที่ศึกษาจากการบริหารทรัพยากรมนุษย์จะช่วยให้สามารถหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดดังกล่าวได้ สิ่งที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือ ผู้บริหารควรมีเหตุผลและกระทำในสิ่งที่ถูกต้อง ได้แก่ การวางแผนที่เหมาะสม การจัดแผนภูมิองค์การและกำหนดสายการทำงานให้ชัดเจน รวมถึงการใช้การควบคุมด้วยความชำนาญแต่อย่างไรก็ตามผู้บริหารก็อาจล้มเหลวได้ในทางกลับกันก็มีผู้บริหารบางคนที่ประสบความสำเร็จถึงแม้จะไม่ได้มีการวางแผนที่เหมาะสมเพราะพวกเขามีความชำนาญในการจ้างคนได้ถูกต้องเหมาะสมกับงาน มีการจูงใจ การประเมิน การฝึกอบรม และการพัฒนาที่เหมาะสม

กิจกรรมการบริหารทรัพยากรมนุษย์ [Human resource management (HRM) activities] หมายถึง การปฏิบัติและนโยบายในการใช้ทรัพยากรมนุษย์ของธุรกิจเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ หรือเป็นกิจกรรมการออกแบบเพื่อสร้างความร่วมมือกับทรัพยากรมนุษย์ขององค์การ กิจกรรมการบริหารทรัพยากรมนุษย์มีดังนี้
1. การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ ( Human resource planning)เป็นกระบวนการสำรวจ
ความต้องการทรัพยากรมนุษย์เพื่อให้ได้จำนวนพนักงานที่มีทักษะที่ต้องการ และสามารถจัดหารได้เมื่อจำเป็นต้องใช้ (Mondy, Noe and Premeaux. 1999 : GL-5) ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอนที่ช่วยให้ได้ทรัพยากรมนุษย์ที่เพียงพอเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์องค์การในอนาคตดังนี้
(1) การพยากรณ์ความต้องการพนักงานที่มีคุณสมบัติต่างๆ
(2) การเปรียบเทียบความต้องการกับกำลังแรงงานในปัจจุบัน
(3) การกำหนดรูปแบบของพนักงานที่จะสรรหาเข้ามาหรือจำนวนที่จะต้องออกจาก
งาน (Ivancevidh. 1988 : 708)ดูรายละเอียดในบทที่ 4 อย่างไรก็ตามในการวางแผนทรัพยากรมนุษย์นั้นจะต้องมีการออกแบบงานและการวิเคราะห์งานก่อน

การวางแผนเชิงกลยุทธ์และการบริหารทรัพยากรมนุษย์เชิงกลยุทธ์
การบริหารทรัพยากรมนุษย์เชิงกลยุทธ์ (strategic human resource management) พนักงานเป็นส่วนสำคัญในการบรรลุความสำเร็จในการสร้างโอกาสในการแข่งขัน โดยการใช้กลยุทธ์การบริหารทรัพยากรมนุษย์ซึ่งหมายถึง การเชื่อมโยงระหว่างการบริหารทรัพยากรมนุษย์กับเป้าหมายกลยุทธ์เพื่อการปรับปรุงสมรรถนะของธุรกิจและพัฒนาวัฒนธรรมองค์การ จะทำให้เกิดนวัตกรรมหรือการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆรูปแบบของการวางแผนการขยายตัว และกิจกรรมด้านทรัพยากรมนุษย์ เป็นการตั้งใจที่จะทำให้องค์การสามารถประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย เป็นการยอมรับหน้าที่ของทรัพยากรมนุษย์ว่า เป็นเสมือนหุ้นส่วนหรือส่วนประกอบสำคัญในกระบวนการของกลยุทธ์ระดับบริษัทอย่างไรก็ตามการสร้างกลยุทธ์เหล่านี้จะต้องผ่านกิจกรรมของฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ เช่น การสรรหา การคัดเลือก การฝึกอบรม และการให้รางวัลบุคคล ดังรูปที่ 1.4 แสดงกลยุทธ์ทรัพยากรมนุษย์ขององค์การ
การวางแผนเชิงกลยุทธ์ (Strategic planning) หมายถึง การตัดสินใจขององค์การเกี่ยวกับภาระหน้าที่ที่ควรทำให้สำเร็จ และวิธีการกำหนดที่จะไปสู่ความสำเร็จ ถึงแม้ว่าการวางแผนกลยุทธ์จะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการพัฒนาแผนกลยุทธ์ แต่ก็มีความจำเป็นมากยิ่งขึ้นที่จะต้องปฏิบัตการให้เป็นไปตามแผน ประกอบด้วยการวางเป้าหมายและจุดประสงค์ทั่วทั้งองค์กร และหาวิธีที่จะทำให้เป้าหมายและจุดประสงค์เหล่านั้นบรรลุผลสำเร็จ ทรัพยากรมนุษย์หรือพนักงานขององค์การจะต้องมีส่วนร่วมอย่างมาก ในกระบวนการวางแผนกลยุทธ์ เมื่อภารกิจ (Mission) ของบริษัทได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนและสามารถวางเป็นแนวทางให้เกิดความเข้าใจได้แล้ว พนักงานและผู้จัดการก็จะใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ในการทำตามจุดประสงค์ของบริษัท ผู้บริหารระดับสูงจะคาดหวังในกิจกรรมของทรัพยากรมนุษย์ว่าจะสัมพันธ์อย่างเป็นระบบกับภารกิจ และเป้าหมายกลยุทธ์ตลอดจนมีการเพิ่มคุณค่าเพื่อให้เป้าหมายเหล่านี้บรรลุผลสำเร็จ ข้อดีของการวางแผนกลยุทธ์คือ จะทำให้บริษัทสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมที่รวดเร็วได้ ด้วยความเป็นจริงเช่นนี้ จึงควรทำแผนกลยุทธ์ให้มีความสำคัญมากขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจของชุมชนในยุโรป (Economic Community in Europe) มีการเปลี่ยนแปลงจะทำให้เกิดอุปสรรคต่อการค้าและต่อตลาดในอาเซียน (Asian markets) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศจีนซึ่งกำลังเปิดประเทศ ขณะที่ความเป็นโลกาภิวัฒน์ของธุรกิจมีแทรกอยู่ทั่วไป การวางแผนกลยุทธ์อาจต้องจัดทำอย่างดี เพื่อให้บริษัทสามารถเข้าสู่การแข่งขันได้ซึ่งผู้จัดการจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมอย่างรอบคอบเพื่อช่วยให้องค์การสามารถขยายตัวและอยู่รอด


























ทฤษฏีระบบเปิดของรัฐประศาสนศาสตร์

| วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2554 | 0 ความคิดเห็น |
ทฤษฏีระบบเปิดของรัฐประศาสนศาสตร์ (Open Systems Theory of Public Administration)

ระบบเปิด (open system) เป็นระบบที่มีการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ที่เป็นในรูปของสารสนเทศ พลังงาน หรือการแลกเปลี่ยนวัสดุ เข้าไปและออกมาจากขอบเขตของระบบ ขึ้นอยู่กับศาสตร์ที่ศึกษา ระบบเปิดนี้ตรงข้ามกับระบบปิด (isolated system) ที่ไม่มีการแลกเปลี่ยนพลังาน วัสดุ หรือสารสนเทศกับสิ่งแวดล้อม

แนวคิดระบบเปิด เริ่มมาจากการใช้อธิบายทฤษฎีสิ่งมีชีวิต (theory of organism) ทฤษฎีความร้อน (thermodynamics) และ ทฤษฎีวิวัฒนาการ (evolutionary theory) ที่เป็นระบบที่ต้องมีการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมและมีการพัฒนาที่จะปรับตนเองเพื่อความอยู่รอดหรือความสมดุล ซึ่งต่อมาได้ใช้เป็นพื้นฐานของการสร้างทฤษฎีสารสนเทศ (information theory) และทฤษฎีระบบ (systems theory) ในปัจจุบันแนวคิดระบบเปิดได้นำมาใช้ประยุกต์ในศาสตร์วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ (natural sciences) และ สังคมศาสตร์ (social sciences)

ในทางรัฐประศาสนศาสตร์ สามารถอธิบายการบริหารรัฐกิจหรือกิจกรรมทางรัฐประศาสนศาสตร์ได้ด้วยทฤษฎีระบบเปิด (ตามรูป) ว่า ทั้งปัจจัยนำเข้า (input) และผลลัพธ์ขั้นสุดท้าย (ultimate outcome) คือ ประโยชน์สาธารณะ (public interests) ในปัจจัยนำเข้าเป็น ความต้องการและการเรียกร้องของพลเมือง (citizens' needs and demands) ส่งมายังกระบวนการ (process) ที่เป็นการบริหารรัฐกิจ ซึ่งก็คือวงรอบของนโยบายสาธารณะ (public policy cycle) คือการก่อกำเนิดของนโยบาย การนำนโยบายไปปฏิบัติ และการประเมินนโยบาย (policy formulation, policy implementation and policy evaluation) ในที่นี้จะเน้นเรื่องการนำนโยบายไปปฏิบัติที่เป็นกระบวนการ (process)

การบริหารรัฐกิจเช่นเดียวกับการบริหารด้านอื่นๆ ในกระบวนการนั้น ผู้บริหารต้องสร้างความกลมกลืนสอดคล้อง (congruence) ระหว่างมิติที่ดูเสมือนแตกต่างกันให้ดำเนินการไปด้วยกันได้ คือมิติระหว่าง กฎระเบียบและคน (rules and regulations vs. man) และมิติระหว่างความต้องการและทรัพยากร (needs vs. resources) ซึ่งผู้บริหารที่มีความสามารถและประสบการณ์จะเข้าใจลึกซึ้งและปฏิบัติได้ดี

ผลของการนำนโยบายไปปฏิบัติคือ ผลผลิต (output) ที่เป็นรูปธรรม เช่น สร้างถนนได้ถนนที่เป็นสิ่งของ แต่จะมี ผลลัพธ์ (outcome) ที่เป็นนามธรรมหรือไม่ เช่น ความสะดวกสบายในการคมนาคม ความมั่นคงปลอดภัย ก็ต้องพิจารณาดูกันอีกที จากนั้นก็เป็น ผลลัพธ์ขั้นสุดท้าย (ultimate outcome) ที่เป็นประโยชน์สาธารณะ (public interests) ว่าสังคมประเทศชาติโดยรวมได้รับผลลัพธ์ไม่ว่าจะเป็นเชิงบวกหรือเชิงลบ เช่นเป็นเชิงบวก ถนนที่สร้างนั้นเป็นส่วนหนึ่งที่ส่งเสริมเครือข่ายคมนาคมของทั้งประเทศ หรือถนนที่สร้างอาจจะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของประเทศ เช่นกรณีถนนขึ้นเขาใหญ่ทางปราจีนบุรี ที่ทำให้เกิดการทำลายป่าและสัตว์มากขึ้น

ในกระบวนการ input-process-output-outcome-ultimate outcome นี้ เป็นพลวัตร (dynamic) ปรับเปลี่ยนเพื่อให้เกิดการพัฒนาหรืออยู่รอดด้วยการมีข้อมูลย้อนกลับ (feedback) และยังมีระบบย่อยอยู่ซ้อนกันมากมาย ในการเป็นระบบเปิด ระบบฯ นี้มีการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมภายในและภายนอก ซึ่งก็คือสังคม การเมือง เศรษฐกิจ และธรรมชาติ หรือเพิ่มด้วยโลกาภิวัตน์ (globalization)

การดำเนินกิจกรรมทางรัฐประศาสนศาตร์ หรืออีกชื่อคือ การบริหารรัฐกิจ มีการดำเนินการภายใต้แนวคิดพาราไดม์ที่นิยมในเวลานั้น ซึ่งในปัจจุบันพาราไดม์ของรัฐประศาสนศาตร์คือ ความเป็นมืออาชีพ ที รปศ. เป็นวิชาชีพหนึ่ง เช่นเดียวกับแพทย์ศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ (รปศ. คือ รปศ. public administration as public administration paradigm) และในขณะเดียวกันก็มีพาราไดม์ซ้อนกันคือ พาราไดม์ ธรรมาภิบาล (governance paradigm) (Henry, 2010) หรือที่เรียกว่าเป็น พาราไดม์บริการสาธารณะแนวใหม่ (new public service paradigm) (Denhardt, 2011) ที่ผู้ปฏิบัติต้องคำนึงถึง ธรรมาภิบาล ประโยชน์สาธารณะ ความเป็นพลเมือง และค่านิยมประชาธิปไตย (governance, public interests, citizenship, democratic values) ควบคู่ไปกับการทำงานอย่างมืออาชีพด้วย

การบริหารรัฐกิจในปัจจุบัน จึงต้องมีความสอดคล้องกลมกลืน ระหว่าง รัฐ (government) ที่สื่อถึงการควบคุม กับ ธรรมาภิบาล (governance) ที่สื่อถึงการตอบสนองและการมีส่วนร่วมของพลเมือง อีกทั้งการพัฒนาการบริหารจำเป็นต้องสร้างความสอดคล้องกลมกลืนระหว่างทฤษฎีและการปฏิบัติ ซึ่งก็คือ การวิจัย นั่นเอง